วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

โจรใต้กราดอาก้าใส่ครอบครัวพ่อค้าซื้อยางตาย1โคม่า2


 


เมื่อเวลา 09.50 น. วันนี้  (15 ต.ค. ) ร.ต.อ.บุญศักดิ์ หนูหมาด ร้อยเวรสภ.ระแงะ จ.นราธิวาส รับแจ้งเหตุคนร้ายใช้ปืนอาก้า  ยิงคนรับซื้อขี้ยางพาราริมถนนในสวนยางพาราบ้านบาโงแยะ หมู่2 ต.ตันหยงลิมอ มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ จึงพร้อมด้วย พ.อ.เฉลิมชัย สุทธินวล ผบ.กรมทหารพรานที่ 45 ร.ต.ท.นัฐวิทย์ วันเพ็ญศรี รอง หน.กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส     ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐ หน.ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด นปพ.จ.นราธิวาส รวมทั้งกำลังตำรวจทหารจำนวนหนึ่งไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุพบกองเลือดตกอยู่กระจัดกระจายทั่วบริเวณที่รับซื้อขี้ยางพารา มีปลอกกระสุนปืนอาก้าของคนร้ายตกอยู่บนถนน  9 ปลอก ส่วนผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ พลเมืองดีนำส่งรพ.ระแงะไปก่อนหน้าแล้ว ห่างไปประมาณ 20 เมตร บริเวณถนนสามแยกตัดกับถนนบ้านลูกเขา พบปลอกกระสุนปืนพกสั้น ขนาด 9 มม.ตกอยู่ 5 ปลอก จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
ต่อมาไปตรวจสอบที่รพ. พบศพนายนาเซ อูมา อายุ 32 ปี ถูกยิงด้วยปืนอาก้าที่ศีรษะ  1 นัด ส่วนผู้บาดเจ็บ 2 ราย นางรอปีอ๊ะ มะดิง อายุ 30 ปี ภรรยานายนาเซ มีบาดแผลถูกยิงที่ลำตัว 2 นัด และนางการาตีนี อูมา น้องสาวนายนาเซ ถูกยิงที่ลำตัว 1 นัด ทั้งคู่อาการสาหัสแพทย์ต้องส่งต่อรพ.นราธิวาสราชนครินทร์
สอบสวนนายอับดุลกอเดร์ อามิฮา รองนายกอบต.ตันหยงลิมอ ทราบว่า ระหว่างนายนาเซ และภรรยารวมทั้งน้องสาวกำลังนั่งคัดขี้ยางของชาวบ้านที่ได้มาขายอยู่นั้น มีคนร้าย 2 คน ขี่รถจยย.มาจอดโดยคนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายใช้ปืนอาก้าจ่อยิงนายนาเซ 1 นัด ภรรยาและน้องสาวต่างพากันวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่คนร้ายก็ตามไล่ยิงทั้งคู่จนบาดเจ็บนายอับดุลกอเดร์ ซึ่งกำลังกรีดยางพาราอยู่ในสวนละแวกใกล้จุดเกิดเหตุ วิ่งออกมาใช้ปืนพกสั้นขนาด 9 มม.  ยิงใส่คนร้าย 5 นัดซ้อนจึงพากันล่าถอยไป ตนได้เรียกชาวบ้านที่กรีดยางพาราละแวกใกล้กันช่วยกันนำผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บส่งรพ.ระแงะ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นฝีมือการกระทำของกลุ่มผู้ไม่หวังดี  เพื่อลอบดักสังหารชาวบ้านผู้บริสุทธิ์รายวัน.

ที่มา เดลินิวส์ 

วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ตร.บุกแม่สอดสอบพยานพม่าคดี'หมอสุพัฒน์'เพิ่มวันนี้

410175


ผกก.สภ.ท่าไม้รวก จ.เพชรบุรี เผย พยานยังไม่กล้าบอกเบาะแสฝังศพ 2 ผัวเมีย พร้อมประสานสถานทูต และลุยแม่สอด เพื่อสอบพยานแรงงานพม่าเพิ่มอีกรอบวันนี้
พ.ต.อ.พิชัย ปกป้อง ผกก.สภ.ท่าไม้รวก จ.เพชรบุรี เปิดเผยสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ตามที่ ทางตำรวจได้ตั้งรางวัลให้กับผู้ที่ชี้เบาะแสจุดที่ฝังศพ 2 สามีภรรยา จ.เพชรบุรี ที่โยงใยกับ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ ผู้ต้องหาในคดีนี้ ศพละ 50,000 บาท ไปนั้น ล่าสุด ยังไม่มีพยานคนใดมาแจ้งเบาะแส ซึ่งทางตำรวจสืบทราบมาว่า มีชาวบ้านรู้เห็นการฝังศพอยู่ แต่ยังไม่กล้ามาแจ้งเบาะแส เพราะห่วงความปลอดภัยของตัวเอง คาดว่าอีกระยะหนึ่งพยานจะออกมาแจ้งจุดเอง ส่วนในทางคดี ตำรวจได้ประสานกับสถานทูตประเทศเพื่อนบ้าน ส่งตัวพยานที่เป็นแรงงานต่างด้าวที่เคยทำงานในไร่ของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ มาให้สอบสวน โดยตนเอง และพนักงานสอบสวนได้เดินทางไปยัง อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อสอบพยานคนดังกล่าวแล้วในวันนี้ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีแน่ และอาจจะประสานนำตัวพยานมาไว้ในความคุ้มครองต่อไปด้วย

ที่มา ไอเอ็นเอ็น 

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เด้ง 5 เสือโรงพักโชคชัยช่วยราชการบก.น.4 เซ่นพิษบ่อน



ผบก.น.4 เซ็นสะบัดคำสั่ง เด้ง 5 เสือโรงพักโชคชัย ช่วยราชการ บก.น.4 แล้ว เซ่นพิษบ่อน หลังถูกชุดสืบสวน บช.ก.บุกจับนักพนันในพื้นที่


จากกรณีที่ พ.ต.อ.ธงชัย วงศ์ศรีวัฒนกุล รองผบก.ปอศ. หัวหน้าชุดสืบสวนบช.ก. นำกำลังตำรวจคอมมานโด 50 นาย เข้าปิดล้อมตรวจค้นตึกแถว 3 คูหาเลขที่ 3/36 ถนนสุคนธสวัสดิ์ แขวงและเขตลาดพร้าว หลังได้รับแจ้งว่าสถานที่ดังกล่าวมีการลักลอบเปิดเป็นบ่อนการพนัน โดยจับกุมตัวผู้เล่นได้ 71 ราย เงินสด 2 แสนบาท นอกจากนี้ยังพบโพยพนันฟุตบอลยอดเงินจำนวนหลายแสนบาท ซึ่งจากการสอบถามผู้คนในละแวกใกล้เคียงทราบว่าบ่อนการพนันดังกล่าว เป็นของเฮียตือ ผู้กว้างขวางย่านโชคชัย 4 และลาดพร้าว เปิดมาได้หลายเดือน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
วันนี้(13 ต.ค.) พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับรายงานเพียงเบื้องต้นตั้งแต่เมื่อกลางดึกหลังจากที่มีการเข้าจับกุม แต่เนื่องจากวันที่ 13 ต.ค. เป็นวันตำรวจไทย จึงยังไม่มีรายงานเพิ่มเติมเข้ามา อย่างไรก็ตามตนได้สั่งการให้ พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบก.น.4 ดำเนินการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสืบสวนข้อเท็จจริงและจัดการไปเลยว่าจะเอาใครมาช่วยราชการ เพราะถือว่านอกหน่วยเข้ามาจับกุม ส่วนกรณีที่มีการระบุว่าบ่อนดังกล่าวเป็นบ่อนของเฮียตือ ตนไม่ทราบรายละเอียดต้องให้ผบก.น.เป็นผู้ชี้แจง
ด้าน พล.ต.ต.นัยวัฒน์ กล่าวว่า เบื้องต้นได้มีคำสั่งให้ 5 เสือ ของสน.โชคชัย มาช่วยราชการที่บก.น.4 เป็นเวลา 30 วัน ประกอบด้วย 1.พ.ต.อ.เศรษฐศักดิ์ ยิ้มเจริญ ผกก.สน.โชคชัย 2.พ.ต.ท.เทพรัชต์ สกุลมีฤทธิ์ รองผกก.ป. 3.พ.ต.ท.ขจรพงศ์ จิตต์ภาคภูมิ รองผกก.สส. 4.พ.ต.ต.บัณฑูร เทพสุวรรณ สวป. และ5.พ.ต.ท.จิรวัฒน์ ยอดกระโหม สว.สส. โดยมอบหมายให้ พ.ต.อ.สาโรช ซุ่นทรัพย์ รองผบก.น.4 ไปรักษาราชการเป็นผกก.สน.โชคชัย แทน นอกจากนี้ยังมีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ให้พ.ต.อ.บรรลือศักดิ์ ขลิบเงิน รองผบก.น.4 เป็นประธานกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงโดยจะเร่งดำเนินการสืบสวนให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด

ที่มา เดลินิวส์ 

จี้นศ.ถูกลวนลาม ยื่นกก.สิทธิฯร่วมตรวจสอบอาจารย์ฉาว



มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล จี้ นศ.ราชภัฏที่ถูกลวนลาม ยื่นกรรมการสิทธิ์ฯ ร่วมตรวจสอบอาจารย์ฉาว ระบุการสอนบางวิชาอาจเปิดช่องให้อาจารย์ถึงเนื้อถึงตัวเด็กได้ ผู้ปกครองควรเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด …

เมื่อวันที่ 12 ต.ค. น.ส.สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณีอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งหนึ่ง ได้ก่อเหตุลวนลามนักศึกษา ว่า ต้องชื่นชมความกล้าหาญของนักศึกษาที่ออกมาตีแผ่ข้อเท็จจริง ซึ่งพลังนักศึกษามีส่วนสำคัญในการนำคนผิดไปสู่การลงโทษ ส่วนที่เกรงว่าเหตุเกิดนานแล้วอาจจะมีผลให้อายุความในการดำเนินคดีทางอาญา ต่อผู้กระทำผิดมีอันสิ้นสุดนั้น เท่าที่ทราบคดีลวนลามมีอายุความไม่เกิน 3 เดือน ซึ่งสามารถแยกเป็นกลุ่มที่ขาดอายุความก็กันเป็นพยานได้ ส่วนกลุ่มที่ยังอยู่ในอายุความก็เป็นโจทก์แจ้งความดำเนินคดี อยู่ที่ว่าจะมีการแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มกี่ราย นอกจากนี้ในทางวินัยสามารถดำเนินการได้ตลอดเวลาจนกว่าผู้กระทำผิดจะถูกลงโทษ อย่างไรก็ตาม อยากแนะนำให้นักศึกษาได้ยื่นเรื่องร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งมีคณะอนุกรรมการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านเด็ก สตรี และความเสมอภาคของบุคคล เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวคู่ขนานไปกับการดำเนินคดีของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและการสอบวินัยของทางสถาบันการศึกษา

น.ส.สุเพ็ญศรี กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมามูลนิธิฯ ได้รับการร้องเรียนจำนวนไม่น้อยถึงพฤติกรรมการลวนลาม การกระทำอนาจารของครูบาอาจารย์ หรือแม้แต่ระดับผู้บริหารกับลูกศิษย์ทั้งระดับประถมมัธยม จนถึงอุดมศึกษา และไม่เฉพาะกับเด็กปกติ แม้แต่เด็กพิเศษที่มีความบกพร่องทางร่างกายก็ถูกกระทำเช่นกัน ส่วนใหญ่ผู้กระทำเป็นผู้ที่มีอำนาจ หรือมีผลต่อการให้คะแนนหรือเกรดเด็ก ทำให้ผู้ถูกกระทำไม่กล้าที่จะฟ้องร้องใคร โดยเฉพาะในรายวิชาที่ต้องมีการสัมผัสถูกเนื้อต้องตัว เช่น การเรียนว่ายน้ำ วิชานาฏศิลป์ เป็นต้น ทำอย่างไรที่จะให้พ่อแม่ผู้ปกครอง และสถาบันการศึกษาสอนให้เด็กนักเรียนนักศึกษามีทักษะในการปฏิเสธหากรู้ว่า กำลังถูกละเมิด และเมื่อเหตุขึ้นจะวิธีป้องกันอย่างไรหรือสามารถบอกใครได้ ที่สำคัญเรื่องจรรยาบรรณความเป็นครูที่มีการละเมิดต่อเด็กนั้น กระทรวงศึกษาธิการต้องมีมาตรการดำเนินการขั้นเด็ดขาด จริงจัง ไม่เช่นนั้นก็จะอาศัยความเป็นครูกระทำต่อศิษย์โดยไม่เกรงกลัว.

ที่มาไทยรัฐออนไลน์ 

จับอดีตทหารจีนค้ายาบ้าเกือบ2ล้านเม็ด





จับอดีตทหารจีนค้ายาบ้าเกือบ2ล้านเม็ด

ตร.ภ.7 ร่วม ตร.กระทุ่มแบน บุกจับ "อดีตทหารจีน" พร้อมยาบ้า 2 ล้านเม็ด อีกรายรวบ "เจ๊กล้วย บ้านฉาง" ค้ายาบ้าในสถานศึกษา ขณะที่ สภ.สะเดาจับ 2 มาเลย์ขนผงขาว 2 กก. ด้านสภ.ศรีราชา จับเอเยนต์ค้ายาบ้า-ไอซ์

          กลางดึกที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ได้นำกำลังเข้าตรวจค้นทาวเฮ้าส์2 ชั้นเลขที่ 88/1437 ม.ศิวารัตน์ 3 ม.5 ต.อ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร พบนางปันปาน สัญชาติพม่า อายุ 22 ปี พร้อมพวกประกอบด้วย นายไก่ แซ่จัง ,นายต้นอ้อ ไม่มีนามสกุล รวม 3 คน อยู่ภายในบ้าน จึงได้แสดงตัวและทำการจับกุมและตรวจค้น พบของกลางยาบ้า 1,784,000 เม็ด อยู่ในลังกระดาษสีน้ำตาลซุกซ่อนอยู่บนชั้น 2 ของทาวเฮ้าส์ หลังจากที่ได้ติดตามจับกุมนายชงหัว หรือเอก แซ่จู อายุ 36 ปี เครือข่ายยาเสพติดใหญ่ระดับชาติ ได้เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาพร้อมเงินสดมากกว่า 40 ล้านบาท และรถยนต์กระบะ4 ประตูยี่ห้อมิตซูบิชิ สีนำเงิน-เทา หมายเลขทะเบียน ฌน. 3233 กรุงเทพฯ ขณะกลับจากส่งยาบ้าที่ห้างสรรพสินค้าโลตัสศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม
  เบื้องต้นนายชงหัว หรือเอก ได้รับสารภาพว่ายังมียาบ้าซุกซ่อนอยู่ภายในทาวเฮ้าส์หลังดังกล่าวอีกเป็นจำนวนมาก จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น ก่อนพานายชงหัว หรือเอก เข้าทำการตรวจค้นภายในทาวเฮ้าส์หลังดังกล่าว 
          บริเวณหน้าทาวเฮ้าส์หลังดังกล่าว ได้มีชาวบ้านที่พักอาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านและบ้านใกล้เคียงได้แห่กันออกมามุงดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจกันอย่างหนาแน่น นับร้อยคน เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามกันชาวบ้านออกไป พร้อมกับปิดประตูรั้วห้ามไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปบันทึกภาพขณะที่มีการนับของกลางเงินสด และยาบ้าที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน
          ต่อมา พ.ต.อ.กฤษณะ ทรัพย์เดช รองผบก.ศสส.ภ.7 ได้เดินทางมายังที่เกิดเหตุพร้อมด้วยพ.ต.อ.ชยาฤทธิ์ เอกเผ่าพันธุ์ ผบก.ภ.จว.สมุทรสาคร,พ.ต.อ.ชัยชาญ ปุราธนานนท์ ผกก.สส.ภ.จว.สมุทรสาคร เพื่อทำการสอบปากคำเบื้องต้นและประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตรวจสถานที่เกิดเหตุ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 7 มาทำการตรวจยาบ้า ที่พบว่าเป็นอย่างไร มีความเข้มข้นของมากน้อยแค่ไหน ก่อนที่จะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดขึ้นรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ รุ่นแวน สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน ภค. 2319 กรุงเทพฯ ส่งยังสภ.กระทุมแบน
          พร้อมกับนำรถยนต์กระบะ 4 ประตูของผู้ต้องหามาทำการบรรทุกลังที่บรรจุยาบ้า และเงินสดออกไปโดยไม่ยอมแจ้งยอดเงินที่ตรวจยึดได้ให้สื่อมวลชนทราบแต่อย่างใด แต่สุดท้ายนายตำรวจระดับสูงคนหนึ่งได้บอกกับผู้สื่อข่าวว่าไม่มีเงินสดของกลางแต่อย่างใด ซึ่งขัดกับข้อเท็จจริงที่เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้แจ้งกับผู้สื่อข่าวไว้ว่าได้มีการตรวจยึดเงินสดของกลางเป็นจำนวนหลายสิบล้านบาท
          จากแหล่งข่าวชุดสืบสวนจับกุม เปิดเผยว่า นายชงหัวหรือเอกนั้นอดีตเคยเป็นทหารจีนและการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ในพื้นที่ได้ครั้งนี้ เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ปส.ได้ส่งข้อมูลของนายชงหัวหรือเอก ให้ทราบว่า นายชงหัวหรือเอกน่า จะมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด จึงได้ติดตามดูพฤติกรรมของนายชงหัวหรือเอก เป็นเวลาหลายวัน และพบว่านายชงหัวหรือเอก ได้เดินทางขึ้นเหนือก่อนที่จะขับรถกลับลงมารับ-ส่งของกันที่ตลาดไทย ก่อนที่จะนำยาบ้าจำนวน 2 แสนเม็ดมาส่งให้กับลูกค้าบริเวณลานจอดรถโลตัสศาลายา โดยได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวมาจอดทิ้งไว้ แล้วจะมีผู้มานำยาบ้าออกไปส่งลงสู่ภาคใต้อีกที เช่นเดียวกับการนำยาจากภาคเหนือลงมาก็จะมีการขับรถไปจอดทิ้งที่ตลาดไทย เพื่อรอให้เครือข่ายมารับยาไป โดยแต่ละครั้งจะรับ-ส่งกันจำนวน 11 ลัง และที่ผ่านมาทำมาแล้วถึง 2 ครั้ง
          เพื่อนบ้านรายหนึ่งบอกว่า ผู้ต้องหาได้มาเช่าทาวเฮ้าส์ หลังดังกล่าวเพียงไม่นาน และเพิ่งเข้ามาอยู่ได้เพียง 3 วัน และจากการสังเกตจะพบว่า มีคนแปลกหน้าเข้าออกบ้านนี้หลายคน และล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 02.00น.ของคืนวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมาผู้ต้องหาได้ขับรถถอยหลังเข้าบ้าน ก่อนที่จะมีการขนของบางอย่างที่บรรจุอยู่ในลังผลไม้ออกไป แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นยาเสพติดจำนวนมากดังกล่าว




รวบ"เจ๊กล้วย บ้านฉาง" เจ้าแม่ค้ายาบ้าเครือข่ายแก๊งค้ายาในสถานศึกษา
          วันเดียวกัน เมื่อเวลา 08.00 น. นายภวัต เลิศมุกดา นายอำเภอสัตหีบ พร้อมด้วย นายชวัฒน์ เทพทัพ ปลัดฝ่ายความมั่นคง และกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด (ศพส.) ร่วมกันวางแผนล่อซื้อจับกุม น.ส.จันทนีย์ หรือ "เจ๊กล้วย สายบุญหล้า" อายุ 28 ปี พักบ้านเลขที่ 172/7 ม.5 ต.บ้านฉาง อ.บ้านฉาง จ.ระยอง เอเย่นต์ค้ายาเสพติดรายใหญ่ในพื้นที่บ้านฉาง พร้อมของกลางยาไอซ์ จำนวน 5 จี น้ำหนัก 5.05 กรัม ธนบัตรล่อซื้อ 12,500 บาท และรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นฟีโน่ 1 คัน ได้ที่บริเวณหน้าห้องแถวเช่าเลขที่ 256/66 ม.3 ต.บ้านฉาง อ.บ้านฉาง จ.ระยอง

          สืบเนื่องจากได้ทำการขยายผลจาก นายวันเฉลิม หรืออุ๊ ใคร่ครวญ อายุ 30 ปี นักร้องผับเพื่อชีวิต ผู้ต้องหาในคดีค้ายาเสพติด ที่ร่วมกับพรรคพวกกระจายเครือข่ายเข้าทำตลาดยาบ้าในสถานศึกษา ซึ่งให้การซัดทอดโยงใยถึง น.ส.จันทนีย์ หรือ "เจ๊กล้วย" เจ้าแม่ค้ายาเสพติดรายใหญ่ที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง จึงวางแผนให้ นายอุ๊ เป็นสายลับโทรศัพท์ติดต่อล่อซื้อไอซ์  ก่อนมาจนมุมถูกจับตัวพร้อมยาไอซ์ ขณะขี่รถจักรยานยนต์นำมาส่งมอบให้กับสายลับ เบื้องต้นให้การรับสารภาพว่า ยาเสพติดที่นำมาจำหน่าย ได้ติดต่อทางโทรศัพท์สั่งงานผ่านผู้ต้องขังคดีค้ายาเสพติดเรือนจำระยอง ก่อนจะมีคนนำมาวางตามจุดต่างๆ และเงินที่ได้จะถูกโอนผ่านทางบัญชีธนาคารที่จะมีการเปลี่ยนชื่อเจ้าของบัญชีอยู่ตลอดเวลา

          นายภวัต เลิศมุกดา นายอำเภอสัตหีบ เปิดเผยว่า ผลการจับกุมตัว น.ส.จันทนีย์ หรือ "เจ๊กล้วย สายบุญหล้า" เจ้าแม่ค้ายาเสพติดรายใหญ่ ถือเป็นตัวการใหญ่ที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง กระจายเครือข่ายนำยาเสพติดเข้ามาจำหน่ายในสถานศึกษามอมเมาเยาวชน โดยก่อนหน้าสามารถจับกุมผู้ร่วมขบวนการได้แล้ว 5 ราย พร้อมอาวุธปืน และยาเสพติดจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นการตัดตอนเครือข่ายยาเสพติดที่มีผู้บงการใหญ่อยู่ในเรือนจำจังหวัดระยอง ล่าสุด เตรียมประสานไปทางกรมราชทัณฑ์ ดำเนินการติดตามจับกุมตัวการใหญ่รายนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

รวบ 2 มาเลย์ ลอบขนผงขาว 2 กก.มูลค่า 3 ล.

          พ.ต.อ.นพดล เพ็ชรสุทธิ์ ผกก.สภ.สะเดา พ.ต.ท.พงษ์พันธ์ แสงสง่า รอง ผกก.ป.สภ.สะเดา พ.ต.ต.การุณ ลิมปิโรจน์ สวป.สภ.สะเดา นำกำลังตำรวจจำนวนหนึ่ง สนธิกำลังร่วมกับอาสาสมัครตำรวจชุมชน เข้าจับกุมแก๊งค้ายาเสพติดข้ามชาติชาวมาเลเซีย ได้ผู้ต้องหา 2 คน คือ นายวอง ซอย เมง อายุ 48 ปี และ นายลี เคท ลี อายุ 34 ปี ขณะลักลอบขนเฮโรอีน น้ำหนัก 2.4 กก.มูลค่ากว่า 3 ล้านบาท มากับรถยนต์เก๋งยี่ห้อแคลซิล สีขาว ทะเบียน KBG 8705 โดยใส่ถุงกระดาษซุกซ่อนไว้บริเวณห้องเครื่องใต้ฝากระโปรงหน้ารถ 
          สอบสวนในเบื้องต้นทราบว่า เฮโรอีนทั้งหมดถูกส่งมาจากชายแดนทางภาคเหนือของไทย ก่อนที่ทั้งสองคนจะขับรถไปรับมาจากพื้นที่ อ.หาดใหญ่ เตรียมนำส่งให้กับลูกค้าที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ในเขตเทศบาลตำบลสำนักขาม ตั้งอยู่บริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย เพื่อจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยวตามสถานบันเทิงต่างๆ และส่วนหนึ่งจะลักลอบนำเข้าไปขายในประเทศมาเลเซียด้วย 
          ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าวจะได้ทำการขยายผลจากสองผู้ต้องหา เพื่อจับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติดที่เหลือของแก๊งนี้ต่อไป

บุกจับเอเยนต์ยาบ้ายึด 1,008 เม็ด ยาไอซ์ 1.20 ก.

          พ.ต.อ.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผกก.สภ.ศรีราชา , พ.ต.ท.กฤศณัฎฐ์ ธนศุภณัฎฐ์ รอง ผกก.ป. , พ.ต.ท.สุวิจักขณ์ เรืองนวมดี สวป.พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรศรีราชา ได้ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมนายขวัญชัย หรือบิ๊ก รุ่งระวิ อายุ 23 ปี อยู่ที่ 48 หมู่ 3 ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา เอเยนต์ค้ายาบ้าพร้อมยาบ้า 1,008 เม็ด และยาไอซ์ 1.20 กรัม หลังจากที่ พ.ต.อ.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผกก.สภ.ศรีราชา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้ออกตรวจพื้นที่กวาดล้างอาชญากรรมและยาเสพติด ได้รับแจ้งจาก สายลับว่าจะมีการส่งยาเสพติดกันบริเวณที่จอดรถอพาร์ทเม้นท์ จึงได้นำกำลังไปตรวจสอบและซุ่มรอก็พบนายขวัญชัย ขับรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า มีโอ สีขาว ทะเบียน คยม 564 ชบ. เข้ามามีท่าทางพิรุธต้องสงสัยและมีอาการลุกลี้ลุกลน
          เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ซุ่มอยู่ได้เรียกให้หยุดแล้วแสดงตัวขอตรวจค้นก็พบยาบ้าจำนวน 4 ถุงๆ ละ 50 เม็ดรวม 200 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในช่องเก็บของด้านหน้ารถจักรยานยนต์คันที่ผู้ต้องหาขับมาแล้ว ขยายผลไปตรวจสอบที่ห้องพักในอพาร์ทเม้นท์ของนายขวัญชัย ผู้ต้องหา ก่อนจะพบยาบ้าซุกซ่อนอยู่ในลิ้นชักตู้เก็บของในห้องพักอีก 4 ถุง จำนวน 808 เม็ด และยาไอซ์ 1 ถุง น้ำหนัก 1.20 กรัม เจ้าหน้าที่จึงยึดของกลางทั้งหมดไว้เป็นของกลาง ซึ่งนายขวัญชัย ให้การรับสารภาพว่า ของกลางยาบ้ายาไอซ์ทั้งหมดเป็นของตัวเองจริง ซึ่งได้โทรสั่งแล้วไปรับยาบ้ามา จากนายบอย ไม่ทราบชื่อจริง พักอาศัยอยู่แถวชากค้อ แล้วนำมาจำหน่ายให้กับวัยรุ่นและเยาวชน และนักท่องเที่ยวรวมถึงหญิงบริการตามสถานบริการในพื้นที่ศรีราชาและหนองขามมานานแล้ว ก่อนจะมาถูกเจ้าหน้าที่จับกุม ได้ในที่สุด หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหานายขวัญชัย ว่ามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า , ยาไอซ์) ไว้ครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิด กฎหมายแล้วคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ที่มา คมชัดลึก 


วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ตามรวบ3คนร้ายขนยาไอซ์ 62 กิโลกรัม





ตร.ร่วมกับปปส.ตะครุบ 3 คนร้ายค้ายาไอซ์ได้พร้อมของกลาง 62 กิโลกรัม เผย คนร้ายขับรถขนแล้วประสบอุบัติเหตุแล้วหลบหนี ก่อนจะย้อนกลับมาหายาไอซืเจอตำรวจดักซุ่มรวบได้ทันควัน วันนี้ ( 11 ต.ค.) ที่เมืองทองธานี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พล.ต.ท.นเรศ นันทโชติ ผบช.ภ.1. พล.ต.ต.สมิทธิ มุกดาสนิท ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี ได้ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุม พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจำนวนหนึ่ง ได้จับกุมตัวแก๊งค้ายาเสพติด 3 ราย ชื่อ 1. นายจะสือ จะแล อายุ 33 ปี นายจะนู จะอือ อายุ 39 ปี และนายชาตรี ปรีชามิตรกูล อายุ 25 ปี พร้อมด้วยของกลางเป็นยาไอซ์จำนวน 62 กิโลกรัม โดย พล.ต.ต.สมิทธิ ได้เปิดเผยว่า การจับกุมแก๊งค้ายาเสพติดรายใหญ่ในครั้งนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุรถกระบะ เชียงราย เฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ ที่บริเวณ ถ.เลียบคลองสอง หน้าวัดแสงสรรค์ ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี ซึ่งในวันนั้นผู้ขับขี่รถยนต์กระบะได้หลบหนีไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการยึดรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุนั้นไปไว้ในที่เก็บของกลางภายในซอยบงกฎ 89 จากนั้นเมื่อคืนวันที่ 9 ตค.ที่ผ่านมานั้น ได้มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง เข้ามาในจุดที่เก็บของกลาง และมีการรื้อค้นเอาสิ่งของภายในรถยนต์กระบะ แต่เอาไปไม่ได้ เพราะสุนัขที่เฝ้าอยู่ได้ส่งเสียงดัง ทำให้กลุ่มคนร้ายพากันหลบหนีไปก่อน และเมื่อทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดแล้วพบว่า กลุ่มคนที่มารื้อค้นสิ่งของนั้นได้น้ำสิ่งของในรถไปวางซุกซ่อนไว้ในพงหญ้าใกล้ๆกัน เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าทำการตรวจสอบและพบว่าสิ่งของในถุงขยะสีดำจำนวน 5 ถุงนั้นเป็นยาไอซ์ ซึ่งเมื่อทราบดังนั้นจึงได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนเฝ้าคอยสังเกตการณ์เพื่อจะจับกุมกลุ่มคนร้ายทั้งหมด ต่อมาเวลาประมาณ 04.00 น.ของวันนี้กลุ่มคนร้ายจำนวน 3 คน ได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง โดยขับรถยนต์เก๋ง เข้ามาในซอยและตรงเข้ามายกถุงยาไอซ์ที่ซุกซ่อนไว้ขึ้นรถเจ้าหน้าที่ที่ซุ่มรออยู่จึงได้แสดงตัวและเข้าจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดเอาไว้ได้ ซึ่งจะได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมดส่งดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป ที่่มา เดลินิวส์

รวบแม่บ้านฝรั่งค้ายานรกหาเงินล้างหนี้











วันนี้ ( 11 ต.ค.) พล.ร.ท.ชัยณรงค์ เจริญรักษ์ ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ ได้สั่งการให้นาวาเอกคมพันธ์ อุปลานนท์ ผู้อำนวยการยุทธการและการข่าว นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์ปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด วางแผนล่อซื้อจับกุมตัว นางสำนวล หรืออึ่ง ศรีสุโข  อายุ 44 ปี อาชีพ แม่บ้านบ้านฝรั่ง พักบ้านเลขที่ 167/1 ม.1 ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ข้อหา มียาเสพติดประเภทที่ 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย ของกลางยาบ้า 50 เม็ด และธนบัตรล่อซื้อ 8,000 บาท
สืบเนื่องจาก ได้รับแจ้งจากฝ่ายข่าวว่า ผู้ต้องหา ลักลอบนำยาบ้าเข้ามาจำหน่ายในเขตพื้นที่ฐานทัพเรือสัตหีบ จึงได้ออกหาข่าวจนสามารถจับกุมเครือข่าย ก่อนทำการวางแผนล่อซื้อจับกุม ได้ที่บริเวณสนามเทนนิส แฟลตส่วนกลางฐานทัพเรือสัตหีบ เบื้องต้น ให้การรับสารภาพว่า เหตุที่ต้องลักลอบนำยาบ้าเข้ามาจำหน่ายในค่ายทหาร เพราะติดหนี้สินนอกระบบ จึงต้องประกอบอาชีพเสริม ด้วยการค้ายาเสพติด เพื่อนำเงินมาจ่ายค่าดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบ ไม่เช่นนั้นชีวิตคงอยู่อย่างไม่ปลอดภัยอย่างแน่นอน

ที่มา เดลินิวส์ 

วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ตำรวจผวา! เฝ้าสาวฆ่าหั่นศพผัว กระเป๋าใส่ศพหมุนเอง

ตำรวจผวา! เฝ้าสาวฆ่าหั่นศพผัว กระเป๋าใส่ศพหมุนเอง


(10 ต.ค.) จากกรณี น.ส.พรสุรีย์ ดีแผ่ว อายุ 36 ปี ก่อเหตุฆ่าหั่นศพสามีที่ป่วยโรคอัมพฤกษ์ ก่อนจะใส่ชิ้นส่วนศพลงในกระเป๋าเดินทางและนำชิ้นส่วนศีรษะ แขน และขา ทิ้งคลองด้านหลังอพาร์ทเมนท์ ตามที่ได้รายงานข่าวไปแล้วข้างต้นนั้น ความคืบหน้าล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจยังรอผลตรวจสภาพจิตของ น.ส.พรสุรีย์ ขณะที่ตำรวจเฝ้าห้องขัง เจออาถรรพ์สุดเฮี้ยน กระเป๋าเดินทางที่ใส่ชิ้นส่วนศพเคลื่อนไหวเองได้
ด.ต.วิโรจน์ พวกอิ่ม สิบเวรห้องขัง สน.บางขุนนนท์ ได้เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา ขณะที่กำลังเข้าเวรปฏิบัติหน้าที่ควบคุมห้องขังอยู่คนเดียวตามปกติ ได้เสียงกุกกักคล้ายวัตถุถูกลากอยู่ในห้องขัง เมื่อหันไปมองดู ปรากฎว่ากระเป๋าเดินทางมีล้อลากที่ผู้ต้องหาใช้ใส่ชิ้นส่วนศพของสามี จากเดิมที่วางนอนไว้กลับตั้งขึ้นอย่างน่าประหลาด ก่อนจะขยับหมุนเคว้งเป็นวงกลม 1 รอบ ทำให้ตกใจขนหัวลุก รีบย้ายออกมาตั้งหลักอยู่หน้าโรงพักจนเช้า
นอกจากนี้ ด.ต.วิโรจน์ ยังบอกอีกว่า ก่อนจะเจอเหตุอาถรรพ์ดังกล่าว น.ส.พรสุรีย์ เคยบอกว่า เห็นสามีที่ตายไปแล้วมาหาที่หน้าห้องขัง กำลังร้องไห้ สภาพไร้แขน 2 ข้าง ไม่มีขาขวา ศีรษะลอยไปมา บอกว่าไม่ได้โกรธแค้นอาฆาตที่ฆ่า แต่รู้สึกรักและเป็นห่วงที่ถูกจับ ไม่อยากให้ตำรวจดำเนินคดี เพราะในช่วงที่ป่วยก็ได้ดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำเป็นอย่างดี
ขณะที่ด้าน น.พ.ศิริศักดิ์ ธิติดิลกรัตน์ ผอ.สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับ น.ส.พรสุรีย์ เป็นผู้ป่วยในแล้ว จากการซักถามประวัติผู้ป่วย พบว่ามีการใช้สารเสพติดและมีการอาการหลงผิด หูแว่วได้ยินเสียงสั่งให้ฆ่าสามีและรู้สึกสำนึกผิด คิดว่าตัวเองเป็นคนชั่ว จึงได้ให้ยาฉีดและยารับประทาน พร้อมกับเฝ้าสังเกตอาการตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งหลังจากนี้จะรวบรวมประวัติและพฤติกรรมของผู้ป่วย เพื่อทดสอบทางจิตวิทยา และสรุปว่า น.ส.พรสุรีย์ เป็นผู้ป่วยทางจิตหรือไม่
สำหรับเรื่องรูปคดีความ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงรอผลจากตรวจสอบสภาพจิตอีก 2 สัปดาห์ และหากผลตรวจออกมาว่า น.ส.พรสุรีย์ ไม่มีอาการทางจิตก็จะดำเนินคดี 2 ข้อหา คือ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและปิดบังซ่อนเร้นอำพรางศพ ต่อไป
ที่มา สนุกดอทคอม 

หนุ่มป่วยประสาทหลอน คว้ามีดเฉือนนิ้ว-เจ้าโลกขาดวิ่น

หนุ่มป่วยประสาทหลอน คว้ามีดเฉือนนิ้ว-เจ้าโลกขาดวิ่น

  หนุ่มป่วยประสาทหลอน ใช้มีดเฉือนนิ้ว-อวัยวะเพศ พร้อมแทงตามร่างกายหลายแห่ง

            วันนี้ (10 ตุลาคม) เวลา 02.00 น. ศูนย์วิทยุกู้ภัยมูลนิธิสว่างบริบูรณ์ เมืองพัทยา จ.ชลบุรี รับแจ้งมีชายก่อเหตุใช้ของมีคมทำร้ายตัวเองจนได้รับบาดเจ็บ ที่บ้านพรทิพย์ ห้องเช่าเลขที่ 229/28 ว.เทพประสิทธิ์ 13 ม.12 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังรับแจ้งจึงนำกำลังเจ้าหน้าที่รุดไปช่วยเหลือทันที

            โดยที่เกิดเหตุ บริเวณหน้าห้องเลขที่ 3 พบผู้บาดเจ็บเป็นชาย ทราบชื่อภายหลังคือ นายอนุชา สมคะเน อายุ 29 ปี ชาวบุรีรัมย์ สภาพถูกของมีคมเฉือนจนได้รับบาดเจ็บที่บริเวณนิ้วโป้งขวา และนิ้วชี้จนขาด ที่อวัยวะเพศถูกเฉือน และตามร่างกายเป็นบาดแผลหลายแห่ง เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนนำตัวส่งรักษาต่อที่โรงพยาบาลบางละมุง โดยมีแฟนสาวดูแลอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ จากการตรวจสอบภายในห้องพักพบกองเลือดเป็นจำนวนมากไปจนถึงหลังบ้าน และในห้องยังพบมีดและเขียงเปื้อนเลือดวางอยู่กลางห้อง

หนุ่มป่วยประสาทหลอน คว้ามีดเฉือนนิ้ว-เจ้าโลกขาดวิ่น

จากการสอบถาม นางพรรณ แกบ้านแพร้ว เจ้าของห้องเช่า เปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุแฟนสาวของคนเจ็บเลิกจากทำงานแล้วเข้าห้องไม่ได้ จึงมาขอกุญแจสำรองไปเปิดห้อง เนื่องจากเคาะประตูเรียกแฟนหนุ่มแล้วไม่เปิด แต่พอนำกุญแจไปเปิดก็ปรากฏว่าห้องล็อคจากด้านใน จึงพยายามเคาะเรียกจนแฟนหนุ่มเดินมาเปิดประตูให้ พร้อมร่างกายที่มีเลือดท่วมตัว จึงได้ร้องเรียกให้เพื่อนบ้านช่วย โดยปกติคนเจ็บอยู่กับแฟนสาวที่ห้องเช่ามานานแล้ว และเป็นคนที่มีนิสัยใจคอดี เรียบร้อย และเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา คนเจ็บถูกส่งไปทำงานที่ประเทศเกาหลีในตำแหน่งช่างอุตสาหกรรม แต่ถูกส่งกลับมาก่อนกำหนด และหลังจากที่กลับมาก็มีอาการแปลก ๆ และชอบเหม่อลอยมาตลอด
            จากการสอบถามเพื่อนที่รู้จักนายอนุชา กล่าวว่า นายอนุชาเริ่มมีอาการป่วยทางประสาท หลังจากไปทำงานที่เกาหลี แต่กลับถูกส่งตัวกลับมาก่อน ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากสาเหตุของอาการป่วยจึงได้ถูกส่งกลับไทย จนเพิ่งมารู้อีกทีว่านายอนุชาได้ทำร้ายตัวเองแล้ว


ที่มากระปุกดอทคอม

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

รวบโจ๋ 17 ริขายยาบ้าผ่านเฟซบุ๊ก สำนึกผิดก้มกราบเท้าขอโทษแม่



สะเทือนใจ โจ๋วัย 17 เชียงใหม่ ริขายยาบ้าผ่านเฟซบุ๊ก โดนตำรวจแชตล่อซื้อ ก่อนรวบตัว แม่รู้ข่าวสุดเสียใจ รับทำมาหากินไม่มีเวลาดูแลลูก สุดท้ายโจ๋สำนึกบาป ก้มกราบเท้าขอโทษที่ทำให้เสียใจ... 

เยาวชนวัย 17 ปี ถูกกองปราบปรามยาเสพติดตำรวจภูธร ภาค 5 ติดต่อล่อซื้อยาบ้า ซึ่งขายผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยได้มีการล่อซื้อโดยใช้วิธีแชตสั่งซื้อยาบ้า 10 เม็ด ในราคา 1,700 บาท เมื่อเยาวชนดังกล่าวหลงกล แชตตอบกลับ จึงได้มีการนัดส่งมอบยาบ้าบริเวณร้านสะดวกซื้อ ในพื้นที่ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ โดยขับขี่รถจักรยานยนต์มาส่งยา จนถูกจับกุมตัวในที่สุด และเมื่อนำตัวไปตรวจร่างกาย ยังพบว่ามีสารเสพติดอยู่ในร่างกายอีกด้วย 

ทั้งนี้ เยาวชนรายดังกล่าวรับสารภาพว่าได้เสพและขายยาบ้าจริง หลังถูกจับกุม มารดาซึ่งมีอาชีพเป็นแม่ค้า ได้รุดมาสอบถามด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ว่าลูกจะกระทำความผิด แต่ก็พร้อมจะให้อภัย เพราะยอมรับว่าไม่มีเวลาดูแลลูก เพราะต้องทำมาหากิน ซึ่งบุตรชายก็ได้สำนึกผิด และได้ก้มลงกราบเท้าแม่ เพื่อขอโทษที่ทำให้ต้องเสียใจ ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ฝากเตือนบรรดาผู้ปกครองที่มีบุตรหลานให้ดูแลอย่างใกล้ชิด

ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ 

ได้ตัวพยานปากเอก รู้ที่ซ่อนศพ ผัวเมียชาวไร่สับปะรด



ตร.ภาค 7 เผยคดี "หมอสุพัฒน์" พบตัวพยานสำคัญรู้เห็นการตาย 2 ผัวเมียแล้วเร่งส่งคนรับชายแดน ขณะที่กรณีจดหมายจากเรือนจำเชื่อหวังผลทำลายน้ำหนักคดี ยืนยันขัดข้อเท็จจริง ย้ำไม่ยุ่งเรื่องมรดก...

ที่ สนง.ตร.ภ.7 เมื่อตอนบ่ายของวันที่ 9 ต.ค.55 พล.ต.ท.หาญพล นิตย์วิบูลย์ ผบช.ภ.7 เผยถึงความคืบหน้าในคดี พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ ว่าขณะนี้เราได้สืบพบพยานรายใหม่อีก 1 คน ซึ่งพยานรายนี้ตามทางสืบสวนของ ตร.พบว่า พยานรายนี้เป็นคนรู้เห็นทุกอย่างในการฆ่า 2 ผัวเมีย และรู้ที่ฝังศพของสองผัวเมีย ซึ่งขณะนี้ ตร.กำลังออกตามตัวอยู่ เป็นชาวพม่าซึ่งพยานรายนี้กลัว พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ มากจนต้องหลบหนีไปอยู่บริเวณตะเข็บชายแดนพม่า ซึ่ง ตร.รู้หมดแล้วว่าอยู่ที่ใด ขณะนี้ส่ง ตร.ให้ไปรับมา ซึ่งหากพยานรายนี้พา ตร.ไปขุดค้นหาศพได้หรือเป็นพยานในการรู้เห็นการฆ่า 2 ผัวเมีย ตร.เราก็จะเสนอขอหมายศาล ในข้อหาร่วมกันฆ่าได้ ที่ผ่านมาการจะตั้งข้อหา พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ นั้น หากพยานหลักฐานเราไม่ครบศาลไม่เห็นด้วยคงออกหมายลำบากต้องมีพยานหลักฐาน แน่นอนศาลถึงออกหมายจับให้




ในส่วนของผู้ต้องหาที่เขียน จม.ออกมาเปิดเผยให้กับสื่อมวลชนนั้น ตร.คาดว่าน่าจะเป็นการเขียนออกมาเพื่อทำลายน้ำหนักของคดี ทางตำรวจเราได้ตรวจสอบแล้วมันผิดกับข้อเท็จจริง ซึ่ง ตร.เปิดโอกาสให้สารพัด ตั้งแต่เริ่มจากการพบรถมาขุดพบศพ และประสานติดต่อให้มามอบตัว ซึ่ง หมอหากบริสุทธิ์ก็คงมามอบตัวสู้ แต่นี่หลอกล่อนัดแล้วนัดอีกหลายครั้งไม่มา จนต้องตามจับกุมตัวได้ ซึ่งหากช้าไปเพียงวันเดียว ตร.คงหาตัวลำบากเพราะเตรียมเดินทางออกไปยังฝั่งพม่าด้านคลองวาฬ จ.ประจวบฯ ส่วน น.ส.วิลสา ภรรยาคนที่ 3 นั้น ตามทางสืบสวนก็พบว่ามีส่วนรู้เห็นในการสังหาร แต่พยานหลักฐานนั้นยังไม่ชัดเจน เมื่อได้พยานรายนี้มาก็จะออกหมายจับพร้อมกันหลายคน นอกจากตัวหมอและภรรยาน้อยคนที่สามแล้ว ยังมีคนอื่นที่ร่วมอีก จับทีเดียวหมด ส่วนเรื่องของมรดกสมบัติต่างๆ นั้น ตร.ไม่เกี่ยวไปฟ้องร้องว่ากันเอง

พล.ต.ท.หาญพล ยังเผยอีกว่าผลการตรวจ ดีเอ็นเอ จากศพทั้ง 2 นั้น ผลยังไม่มา แต่พฤติกรรมต่างๆ นั้น ตร.สืบสวนมาหมดแล้ว วิธีการสังหารเหยื่อสาเหตุของการสังหาร ตร.ได้รวบรวมพยานบางส่วนไว้บ้างแล้ว หากผล ดีเอ็นเอ ออกมาตรงกับที่พยานบอกว่าการสังหารนั้นวิธีตรงกันก็ใช่เลย ตอนนี้ผู้ต้องหาพยายามกดดัน ตร.หาว่า ตร.ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอน ข่มขู่ และไม่เปิดโอกาสให้พูด ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีการกดดันใดๆ ทั้งสิ้น ตร.ทำไปตามหลักฐานชัดเจน อันไหนยังไม่ชัดก็จะไม่เสนอศาลออกหมายจับ จะดำเนินการไปเรื่อยๆ ชัดเจนก็แจ้งข้อหาขอหมาย ถึงต้องแจ้งข้อหาออกมาเรื่อยๆ แสดงว่าที่แจ้งไปนั้นเรามีหลักฐานชัดเจน ขณะนี้ยังเปิดเผยรายละเอียดอะไรมากไม่ได้ ให้รู้ว่ามีพยานสำคัญเพิ่มเติมที่จะแจ้งข้อหาหมอในข้อหาหนักได้ ขอให้รอคงภายใน 2-3 วันนี้.

โดย: ทีมข่าวภูมิภาค
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ 


2 โจรโม่งใช้รถลากตู้เอทีเอ็มหวังฉกเงินล้าน


 




วันนี้ (9 ต.ค.) ร.ต.ท.ประวัติ ศรีเทพ พงส.(สบ1) สภ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี รับแจ้งเหตุคนร้ายก่อเหตุใช้รถปิกอัพพยายามลากตู้เซฟเอทีเอ็มของธนาคารกรุงเทพ จำกัด มหาชน เหตุเกิดที่หน้าบางสวรรค์เซนเตอร์ เลขที่ 162 หมู่ 3 ต.บางสวรรค์ อ.พระแสง รายงานผู้บังคับบัญชาทราบ ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พ.ต.อ.ประชุม เรืองทอง ผกก.สภ.พระแสง ,  พ.ต.ท.ชิงชัย ภู่รัตโอภา รอง ผกก.สส. ,  ร.ต.ท.บุญฤทธิ์ สุดทองคง รอง สว.สส. , และกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน
ที่เกิดเหตุเป็นร้านมินิมาร์ทตั้งอยู่ริมถนนสายบางสวรรค์-ปลายพระยา พบตู้เซฟขนาด 60x60 ซม. วางอยู่กลางถนนห่างจากตู้เอทีเอ็มหน้ามินิมาร์ทประมาณ 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงได้กั้นที่เกิดเหตุก่อนประสานเจ้าหน้าที่ธนาคาร และ ตำรวจพิสูจณ์หลักฐานเข้าตรวจสอบ นอกจากนั้นพบว่าตู้เอทีเอ็มถูกคนร้ายงัดกรอบหน้าจนพังได้รับความเสียหายและกระแสไฟฟ้าถูกตัด ซึ่งจากการตรวจสอบกล้องวงจรบริเวณใกล้เคียง พบว่าก่อนเกิดเหตุได้มีรถปิกอัพ ไม่ทราบยี่ห้อแน่ชัด เบื้องต้นคาดว่าเป็นโตโยต้า ถอยเข้ามาจอดที่หน้าตู้เอทีเอ็ม จากนั้นได้มีคนร้ายเป็นชาย สวมโหม่งปิดบังใบหน้า สวมเสื้อสีขาว กางเกงยีน สูงประมาณ 160-170 ซม.เดินลงมาจากรถ ก่อนเข้าไปใช้ชะแลงงัดกรอบตู้เอทีเอ็มจนหลุดแล้วใช้สายสลิงตะขอเกี่ยวกับหูตู้เซฟ แล้วส่งสัญญาณให้คนขับรถออกรถอย่างรวดเร็ว จนทำให้ตู้เซฟหลุดออกจากตู้เอทีเอ็ม แต่แรงกระชากไม่สามารถทำให้ตู้เซฟเปิดออกมาได้ เมื่อคนร้ายเห็นว่าไม่สำเร็จจึงได้พากันขับรถหลบหนีออกไป และจากการตรวจสอบพบว่าเงินสดประมาณ 1.2 ล้านบาทยังอยู่ครบ
ทางด้าน พ.ต.อ.ประชุม กล่าวว่า ล่าสุดได้ประชุมร่วมกับชุดสืบสวนภูธรจังหวัดและศูนย์สืบสวนภาค 8 เพื่อร่วมกันวิเคราะห์ เชื่อว่าคนร้ายที่ลงมือมีความชำนาญและทราบกลไกการทำงานของระบบตู้เอทีเอ็มเป็นอย่างดี โดยผู้ลงมือมีไม่ต่ำกว่า 2 คน อย่างไรก็ตามได้รายงานเหตุการณ์ให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้นแล้ว และจะเร่งสืบสวนเพื่อหารูปพรรณของรถและคนร้ายที่ก่อเหตุอย่างเร่งด่วนเนื่องจากคาดว่ากลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุยังคงวนเวียนอยู่ในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานีและใกล้เคียง
พล.ต.ต. เกียรติพงษ์  ขาวสำอางค์  ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี กล่าวถึงความคืบหน้าว่า ล่าสุดได้เบาะแสรูปพรรณคนร้ายและรถที่ใช้ก่อเหตุแล้ว โดยพบว่ารถที่ก่อเหตุเป็นยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีบรอนซ์ ขณะก่อเหตุไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ส่วนคนร้ายนั้น ได้ประสานไปยังศูนย์สืบสวนสอบสวน ภาค 8 ในการนำพฤติกรรมคนร้ายไปเปรียบเทียบกับกลุ่มประวัติอาชญากรรมที่เคยก่อเหตุในลักษณะดังกล่าว โดยเชื่อว่าผู้ก่อเหตุเป็นมืออาชีพและเชี่ยวชาญเรื่องระบบตู้เอทีเอ็ม

ที่มา เดลินิวส์ 

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

'หมอสุพัฒน์'ร่อนจม.จากคุกแฉกลับพฤติกรรมพี่ชายปรักปรำหวังสมบัติแม่



ลูกชายหมอสุพัฒน์นำจดหมายจากผู้เป็นพ่อจากเรือนจำกลาง จ.เพชรบุรี เผยแพร่ผ่านสื่อมวลชน ระบุพ่อต้องการให้สื่อรู้ข้อมูลอีกด้าน ตำหนิตำรวจตั้งข้อหารายวันไม่เป็นธรรมกับตนเอง ขณะจดหมายร่ายยาว พลิกปมกลับตาลปัตร อ้างพี่ชายปรักปรำหวังได้เงินและสมบัติ.... 

เมื่อวันที่ 8 ต.ค. นายเอก เลาหะวัฒนะ ลูกชาย พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ ได้เดินทางมายังเรือนจำกลาง จ.เพชรบุรี โดยใช้เวลาเข้าเยี่ยมและพูดคุยกับผู้เป็นพ่อ จนกระทั่งถึงเวลา 12.00 น. จึงได้ออกมาและพูดคุยพร้อมทั้งแจกเอกสารที่ระบุว่าเป็นลายมือของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ผู้เป็นพ่อ โดยได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า

"พ่อฝากจดหมายที่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่คุณพ่อฝากมา เพราะว่าตอนนี้สื่อนำเสนอข่าวออกในด้านเดียว ก็เลยอยากจะให้รับรู้ในด้านที่ท่านอยากให้รับทราบบ้าง พ่อป่วยเป็นเบาหวานผมต้องนำยามาให้ท่าน ตอนนี้ท่านกังวลเกี่ยวกับเรื่องคดี ซึ่งจริงๆ แล้วพนักงานสอบสวนน่าจะสอบสวน แล้วก็รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดี เพื่อที่จะมาพิสูจน์ว่าเป็นผู้กระทำความผิดหรือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าพนักงานสอบสวนพยายามที่จะรวบรวมและแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นการแจ้งข้อกล่าวหารายวัน โดยพ่อมองว่าไม่ได้รับความยุติธรรม

ส่วนกรณีที่ น.ส.วิลสา จันทรบัญชร ภรรยาคนที่ 3 ของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ กล่าวตนเป็นผู้ขับรถยนต์ของนายสามารถไป ข้อเท็จจริงทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่า ตนไม่เคยไปที่ไร่เลย "ผมมีพยานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งขณะนี้ก็รอให้รอง ผบช.ภาค 7 เรียกไปให้ปากคำแต่ตอนนี้ไม่เห็นมีการประสานงานเข้ามา และจะไม่หนีไปไหนอยู่แล้ว ซึ่งวันนี้มีเอกสารที่พ่อฝากมาให้สื่อทราบ เป็นเรื่องอีกด้านหนึ่งที่ยังไม่เคยนำเสนอและได้จัดทำสำเนาให้กับสื่อที่มา ร่วมทำข่าวในวันนี้ขณะนี้ สำหรับบ้านที่นนทบุรีและที่ในไร่ตนเองไม่เคยไป ส่วน น.ส.วิลสา ก็รู้จักเคยพูดคุยตอนหลังแยกกันอยู่กับพ่อก็เลยไม่ค่อยได้พบกัน"




สำหรับข้อความจดหมายที่นายเอก เลาหะวัฒนะ ลูกชาย พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ นำออกมาจากเรือนจำกลางเพชรบุรี เพื่อให้สื่อมวลชนในวันนี้ (8 ต.ค.) เวลา 12.00 น. ที่บริเวณหน้าเรือนจำ มีทั้งสิ้น 10 หน้ารวมจดหมายที่เขียนถึง ผบ.เรือนจำด้วย ข้อความระบุว่า การที่ไม่ออกมาพูดตั้งแต่แรก เนื่องจากไม่เชื่อว่า พี่ชายจะนำหมอไปเกี่ยวกับนายสามารถเป็นเรื่องราว เพราะโดยส่วนตัวไม่เคยมีเรื่องขัดใจอะไรที่รุนแรงกับครอบครัวนายสว่าง นายสามารถเลย มีแต่เคยให้ความช่วยเหลือทางการเงินกับนายสว่างและช่วยเหลือให้บุตรสาวเข้าทำงานใน รพ.ตำรวจ

"สิ่งที่สำคัญ คือ ทราบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดจาก หมอได้ร้องขอคุ้มครองชั่วคราวต่อศาล หากท่านได้ดูคลิปคุณแม่ จะเห็นว่าคุณแม่บอกว่า มันเอาเงินแม่ไปจนหมด ที่ดินก็เอาไปขาย ถ้าขายหมดมันฆ่าแม่แน่ คำพูดทั้งหมดเป็นคำพูดที่แม่พูดถึงหมอ เมื่อหมอไปพบแม่ตามลำพัง คุณแม่มักจะจำชื่อลูกสลับกัน เนื่องจากเป็นโรคสมองเสื่อมรุนแรง หมอจึงได้ไปร้องต่อศาลขอเป็นผู้อนุบาลมารดา" จดหมายของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ระบุ

เนื้อความในจดหมายยังระบุว่า ระหว่างกระบวนการพิจารณาคดี มีการพาผู้เป็นแม่ไปพิมพ์มือโอนขายที่ดินเป็นเงิน 200 ล้าน และโอนย้ายถ่ายเทเงินดังกล่าวไปจนหมด เป็นเหตุให้ศาลอายัดทรัพย์สินของมารดาทั้งหมด มิให้มีการโอนย้ายถ่ายเทอีก ทำให้พี่ชายซึ่งมีปัญหาด้านการเงินมาโดยตลอดเดือดร้อน ต่อมาปี 2545 มารดาพบว่าเงินหมดบัญชี ได้มอบอำนาจให้หมอไปตรวจสอบเงินในบัญชี จึงพบว่า คนรอบข้างได้ยักย้ายถ่ายโอนเงินจากบัญชี มารดาเมื่อทราบเรื่องก็ร้องไห้เสียสติ ต้องเข้าโรงพยาบาลและมอบอำนาจให้หมอดำเนินดคีกับผู้เกี่ยวข้อง แต่เห็นว่าทุกคนล้วนเป็นคนใกล้ชิดจึงแจ้งกับทุกคนว่า พอได้แล้วนะ หยุดได้แล้ว 

ส่วนการที่หมอมีอาวุธปืนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นนักกีฬายิงปืน มาตั้งแต่ 2533 ทดสอบอาวุธปืนได้เหรียญทองของตำรวจ นอกจากนั้นยังเป็นประธานกีฬายิงปืน 4 เหล่าถึง 4 สมัย สามารถตรวจสอบได้ การพิจารณาว่าหมอเป็นผู้ผิดโดยจับตัวไปขังคุกไม่ให้ประกัน แล้วแจ้งข้อหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ให้โอกาสนำพยานหลักฐานมาแสดงนั้น ไม่เป็นการยุติธรรม หมอพร้อมให้ตรวจสอบประวัติว่ามีพฤติกรรมก้าวร้าวหรือไม่ รับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอด ทุ่มเทความรู้และเรี่ยวแรงเพื่อผู้ป่วยหรือไม่ ได้รับการยอมรับจากบุคลากรในองค์กรเลือกให้เป็นประธานองค์กรแพทย์จริงหรือไม่

"รู้สึกเสียใจที่ต้องเปิดเผยพฤติกรรมของพี่ชายแท้ๆ แต่เพื่อปกป้องตนเอง ชื่อเสียงที่สร้างมาตลอดชีวิต พี่ชายแท้ๆ ที่คลานตามกันมา ทำลายน้อง ทำลายหลานแท้ๆ เพื่อให้ได้สิ่งเดียวคือ เงิน" จดหมายระบุ ลงชื่อ นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ และขอรับรองว่าเป็นลายมือของนายสุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ 8 ต.ค. 2555

นอกจากนี้ ยังมีการนำจดหมายที่อ้างว่าเป็นของ นช.อานนท์ เจริญชอบ ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำกลางเพชรบุรี มาแสดงด้วย โดยจดหมายระบุว่า นายอานนท์ มีบ้านพักอยู่ตรงข้ามบ้านของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ และเป็นเพื่อนกับนายกะลา คนงานในไร่ของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ วันที่นายกะลาแขนขาดได้กินเหล้าจนเมาแล้วไปรับจ้างโม่ข้าวโพด มือเลยเข้าไปในเครื่อง หลังไปรักษาหายได้ชักชวนตนไปลักปืนในบ้านหมอ ไปขาย 9 กระบอก และนายกะลาเอาปืนไป 1 กระบอกเป็นปืนลูกซองและเงินส่วนแบ่ง นายกะลาเมาเคยเล่าให้ฟังว่า หลังหลุดคดีฆ่าคนตายออกจากคุกไปหาเมีย พบว่า เพื่อนที่โรงงานว่านหางจระเข้ มาเอาเมียไปข่มขืน จึงยิงเพื่อนตายและแอบเอาไปฝังไว้.
โดย: ทีมข่าวภูมิภาค
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ 

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แม่บ้านคู่ขากระซวกเฒ่าฟินแลนด์ดับคาถนน



หลังไปดื่มสุราที่ร้านใกล้ที่เกิดเหตุแล้วเดินกลับที่พัก กลางทางเจอสาวไทยเกิดถกเถียงก่อนถูกเสียบกลายเป็นศพ


เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 7 ต.ค. พ.ต.ท.สำราญ คำวัฒนา พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี รับแจ้งเหตุชาวต่างชาติถูกแทงเสียชีวิตบริเวณหน้าบ้านเลขที่ 388/51 หมู่บ้านสุขสบายวิลล่า ใกล้เคียงสำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง ซอยแดง-ดำ พัทยาใต้ หมู่ 10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พล.ต.ต.คัชชา ธาตุศาสตร์  ผบก.ภ.จ.ชลบุรี พ.ต.อ.ธรรมนูญ มั่นคง ผกก.สภ.เมืองพัทยา พ.ต.ท.อนรรฆ ประสงค์สุข สว.สส. และหน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างบริบูรณ์ธรรมสถานเมืองพัทยา ที่เกิดเหตุบริเวณกลางถนน พบศพนายทิโม จูฮาล ทารา อายุ 64 ปี สัญชาติฟินแลนด์ สภาพสวมเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีน มีบาดแผลถูกแทงหน้าอกซ้าย ใกล้กันพบมีดทำครัวเปื้อนเลือดยาวประมาณ 20 ซม. ตกอยู่ จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ต่อมามีนายเอนก เสิกศิริ อายุ 28 ปี กับชายชาวต่างชาติอีกคนหนึ่ง รู้จักกับผู้ตาย เดินทางมาดูศพ ก่อนให้การกับตำรวจว่า ผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นฝีมือของนางวาสนา (ไม่ทราบนามสกุล) อาชีพแม่บ้าน สาวคู่ขาของผู้ตาย ส่วนสาเหตุคาดว่าน่าจะเกิดทะเลาะเบาะแว้งกันบางเรื่อง เพราะก่อนหน้านี้ ผู้ตายไปดื่มสุราที่ร้านอาหารใกล้ที่เกิดเหตุ ก่อนจะเดินเท้ากลับห้องพักในซอยกอไผ่ มาพบนางวาสนา แล้วอาจถูกต่อว่าจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน ก่อนถูกฝ่ายหญิงใช้มีดแทงจนเสียชีวิตดังกล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงวิทยุแจ้งรูปพรรณของสาวไทยมือมีดรายนี้ ให้ตำรวจสายตรวจตามเขตต่างๆ ทราบเพื่อสกัดจับกุม แต่ก็ไร้วี่แวว.

ลูกชายเผยเดลินิวส์ "หมอสุพัฒน์" เตรียมเปิดใจครั้งแรกผ่านลูกกรงเรือนจำพรุ่งนี้


ด้านตร.บุกค้นไร่หมอสุพัฒน์ครั้งที่ 11 ผกก.บอกญาติ2ผัวเมียอยากใช้ไสยศาสตร์ช่วยหาศพก็ยินดี บิ๊กตำรวจโต้เปล่าข่มขู่ "วิลสา" ให้ปรักปรำผัวหมอ ยันเจ้าตัวยินยอมเองแถมเซ็นชื่อไว้ด้วย
วันนี้ ( 7 ต.ค.)  เมื่อเวลา 14.50 น.พ.ต.อ.พิชัย. ปกป้อง ผกก.สภ.ท่าไม้รวก อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่วิทยาการตำรวจ เขต 16 เพชรบุรี กองพิสูจน์หลักฐานจังหวัดเพชรบุรี พร้อมรถแบ๊กโฮ นำหมายค้น จากศาล จ.เพชรบุรี เลขที่ มค 694 ตั้งแต่วันที่6-10 ต.ค.55 ระหว่าง 07.00-18.00 น. เข้าตรวจพื้นที่ไร่ของ พ.ต.อ.นายแพทย์สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ เพื่อค้นหาศพผู้สูญหายเป็นครั้งที่ 11 หลังผลตรวจจากสำนักงานนิติเวช กรมตำรวจ แจ้งว่าผล  DNA โครงกระดูกมนุษย์ที่ขุดค้นพบในไร่จำนวน 3 โครงไม่ตรงกับของนายสามารถ และนางอุษา ผู้สูญหาย ต่อมาญาติจึงขอให้ตำรวจนำกระดูกทั้งหมดส่งสถาบันนิติเวช รพ.จุฬา เพื่อตรวจผลดีเอ็นเออีกครั้ง อยู่ระหว่างรอผลตรวจ ขณะเดียวกันในการค้นหาครั้งล่าสุดที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่พบท่อปูนลึกลับอยู่ในสระน้ำข้างจุดที่พบโครงกระดูก2ร่าง ประกอบกับสุนัขตำรวจ เค9 ที่มาร่วมค้นหามีอาการกระวนกระวายจุดที่พบท่อปูนด้วย เมื่อมีการเข้าสูบน้ำตรวจสอบท่อปูนแต่ไม่พบหลักฐานเพิ่ม ขณะที่ตำรวจได้จับกุมนางวิลสา จันทรบัญชร ได้แล้วและนำฝากขังศาล จ.เพชรบุรี
        
โดยการค้นหาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้รถแบ๊กโฮขุดซ้ำบริเวณที่ชาวบ้านช่วยกันขุดเมื่อวานนี้แต่ลึกกว่าเดิมประมาณ 3 เมตร และเคลื่อนที่ขุดตามแนวต้นมะม่วง จากนั้นหากยังไม่พบก็จะเคลื่อนแนวการขุดค้นหาไปที่จุดที่พบศพแรกและ2ศพต่อมา หากยังไม่เจอก็จะขุดไล่ต่อไปเรื่อย ๆ
พ.ต.อ.พิชัย. ปกป้องผกก.สภ.ท่าไม้รวก กล่าวว่า การค้นหาตลอด 5 วันนี้ตำรวจทำอย่างสุดความสามารถอยากให้ญาติพี่น้องของคนที่หายไปได้เจอกัน เพราะพวกเขาก็รอคอยมานานแล้ว ถึงตอนนั้นถ้าใครมีดีอะไรอยากมีช่วยก็มาได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเซียนล้างป่าช้า หรือหมอดู หมอไสยศาสตร์ เอามาได้เลย ถ้าวันที่10 ต.ค.นี้ ยังค้นหาไม่พบเราคงต้องยุติไว้เพียงเท่านั้นก่อน

ส่วนกรณีที่นางวิลสา ได้เขียนจดหมายร้องเดลินิวส์กล่าวหาว่าตำรวจข่มขู่ระหว่างสอบสวน ยืนยันทางตำรวจไม่ได้กระทำอย่างนั้น ระหว่างสอบมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่ร่วมสอบนับ 10 นาย การสอบสวนก็เหมือนการพูดคุยโต้ตอบตามปกติ ไม่มีการข่มขู่หรือกระทำที่รุนแรงแต่อย่างใด ที่สำคัญระหว่างการสอบปากคำมีการบันทึกวีดิโอไว้เป็นหลักฐาน ดังนั้นใครจะกล่าวหรือพูดใดๆก็สามารถทำได้แต่ข้อเท็จจริงมันมีหลักฐานอยู่ และคดีนี้อยู่ในความสนใจของประชาชน เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่ตำรวจจะทำในสิ่งที่เป็นภาพลบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนที่รถแบ๊กโฮจะเริ่มขุดได้มีหมอผีชาวกระเหรี่ยงมาทำพิธีเปิดหน้าดินเพื่อช่วยให้การค้นหาประสบความสำเร็จด้วย

ล่าสุด นายเอก เลาหะวัฒนะ อายุ 30 ปี บุตรชายของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ ได้แจ้งทีมข่าวเดลินิวส์ว่า วันก่อนเข้าไปเยี่ยมและนำยารักษาโรคเบาหวานไปมอบให้บิดาที่เรือนจำเพชรบุรีแล้วนั้น บิดามีสภาพอิดโรย สีหน้าหมองคล้ำ เนื่องจากไม่ค่อยได้พักผ่อน โดยยังได้บอกกับตนว่า ขณะนี้มีความรู้สึกอัดอั้นตันใจมาก เพราะตั้งแต่ถูกควบคุมตัวมายังไม่มีโอกาสได้เปิดเผยความในใจเลยว่ามีที่มาไปอย่างไร สาเหตุใดเป็นต้นเรื่องของเหตุการณ์ อยากจะสื่อสารเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรชี้แจงให้บุคคลภายนอกได้ทราบเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมด เชื่อว่ายังมีสิ่งต่าง ๆ อีกมากที่หลายคนอยากจะทราบ ซึ่งในวันที่ 8 ต.ค. ตนจะเข้าไปเยี่ยมบิดาอีกครั้งในเรือนจำและจะนำถ้อยคำหรือข้อความที่บิดาต้องการจะเปิดใจออกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน

ขณะที่ พล.ต.ต.วิทยา ประยงค์พันธ์ รอง ผบช.ภ.7 กล่าวถึงกรณีมีจดหมายปริศนาของ น.ส.วิลสา ที่เขียนด้วยลายมือออกมาจากคุกมีใจความระบุว่า เจ้าหน้าที่กดดันและข่มขู่ให้ยอมรับสารภาพไปในแนวทางที่ตำรวจต้องการว่า ในฐานะที่เป้นผู้ดูแลในคดีนี้ ขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นไปตามจดหมายแน่ เนื่องจากวันที่นำตัว น.ส.วิลสา มาสอบปากคำนั้น  พล.ต.ท.หาญพล นิตย์วิบูลย์ ผบช.ภาค 7 และตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายนายร่วมสอบปากคำด้วย จึงเป็นไปไม่ได้ว่าจะมีการข่มขู่ ทุกคำถามเป็นเพียงการซักถามข้อสงสัยตามปกติเท่านั้น คาดว่าน่าจะเป็นการเข้าใจผิดมากกว่า เพราะหลังจากสอบถามเสร็จ เจ้าตัวยังลงลายมือชื่อด้วยตัวเองว่า การให้การในวันนี้ไม่ได้มีการข่มขู่ รวมทั้งยังปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาด้วยซ้ำไป.
ที่มา เดลินิวส์ 

ตำรวจทหารร่วมมือจับครอบครัวค้ายาบ้า





ตำรวจชุมพรร่วมมือทหาร จับผู้ค้ายาเสพติดในเขต อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร เผยได้รับเบาะแสมีคู่สามีภรรยาขายยาบ้าให้วัยรุ่นและต่างด้าว ผู้ต้องหาสารภาพขายมากว่า 2 ปี เอเย่นต์ไหวตัวหลบหนีได้ก่อน


วันนี้ ( 7 ต.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น.   พล.ต.ต.เอิบ คงกล่ำ ผบก.ภ.จว.ชุมพร พร้อม พ.อ.อุทิศ อนันตนานนท์ รอง ผบ.ฉก.ร.25 กกล.เทพสตรี พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้นำตัว นายปัญญา หรือ ไข่ แขวงรถ อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่30 ม.7 ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร กับ น.ส.แสงดาว หรือนุ้ย สั่งสอน อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 102 ม.6 ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ภรรยาพร้อมด้วยรถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า สีดำตอนครึ่ง หมายเลขทะเบียน บน 7249 ประจวบคีรีขันธ์  และนายมีชัย ปัทมโรจน์ อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 57/2 ม.7 ต.อ่างทอง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์  นายเฉลิมพร จรรภูผา อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 3 ม.3 ต.รับร่อ อ.ท่าแซ จ.ชุมพร   ของกลาง เป็นยาบ้าจำนวน 222 เม็ด ยาไอซ์ 1 กรัม เงินสด จำนวน 4 แสน 9 หมื่น 3 ร้อยบาท พร้อมแจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้าและยาไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย มาแถลงการจับกุม
  
โดยทาง พล.ต.ต.เอิบ กล่าวว่า การจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดซึ่งเป็นเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร สืบเนื่องจากเครือข่าวภาคประชาชนเฝ้าระวังเหตุ หรือตาสับปะรด ได้ให้ข้อมูลมาที่ ฉก.ร.25กกล.เทพสตรี ว่าบ้านเลขที่ 108 ม.6 ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ซึ่งเป็นบ้านเช่าของ นายปัญญา หรือ ไข่ แขวงรถ กับ น.ส.แสงดาวหรือนุ้ย สั่งสอน ซึ่งสองสามีภรรยา ได้ลักลอบค้ายาเสพติดให้กับแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร จึงได้ส่งชุดการข่าวของทางหน่วยทหาร ออกตรวจสอบหาข้อมูลเพิ่มเติม จนรู้แน่ชัดว่า ทั้งสองสามีภรรยาคู่นี้ มีพฤติกรรมลักลอบค้ายาบ้าให้กลุ่มวัยรุ่น และกลุ่มผู้ใช้แรงงานต่างด้าวจริง จึงได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าแซะ จ.ชุมพร โดยใช้อำนาจตาม พรบ.กฎอัยการศึก เข้าทำการตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าว
พล.ต.ต.เอิบ  กล่าวต่อว่า  ขณะที่เจ้าหน้าที่เดินทางไปยังบ้านหลังดังกล่าว เมื่อเวลา 07.00 น.  พบตัว น.ส.แสงดาว กำลังทำความสะอาดบ้านอยู่ เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ถึงกับหน้าถอดสี ท่าทางมีพิรุธ จึงได้แสดงตัวขอตรวจค้น โดยให้ นส.แสงดาวนำตรวจค้นเพื่อความบริสุทธิ์ใจ เมื่อเข้าไปในบ้านพบ นายปัญญา ทำทีแกล้งหลับอยู่บนเตียงภายในห้อง ลักษณะนอนคว่ำ เจ้าหน้าที่จึงเรียกให้ลุกขึ้น จึงพบยาบ้าจำนวน 222 เม็ด บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีฟ้า อยู่บนที่นอนจึงยึดเป็นหลักฐาน นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังตรวจค้นภายในรถของสองผัวเมียที่จอดอยู่ในบริเวณบ้าน พบเงินสดอีกจำนวนเกือบสองแสนบาท  ในขณะที่ตำรวจกำลังตรวจค้นได้มีนายมีชัย ปัทมโรจน์ อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 57/2 ม.7 ต.อ่างทอง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ นายเฉลิมพร จรรภูผา อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 3 ม.3 ต.รับร่อ อ.ท่าแซ จ.ชุมพร เข้ามาติดต่อซื้อขายยาบ้า ตำรวจจึงจับกุมพร้อมของกลางเป็นยาบ้าและเงินจำนวนหนึ่ง   พร้อมทั้งนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมของกลางเป็นยาบ้าและเงินสดมาสอบสวนที่ สภ.ท่าแซะ
  
เบื้องต้น ทางนายปัญญา ให้การรับสารภาพว่า ตนเองค้ายาบ้ามานานกว่า 2 ปี โดยยาบ้าทั้งหมดตนเองรับมาจาก นายสุพรหรือหนึ่ง แก้วรักษ์ อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 158 ม.1 ต.ท่าข้าม อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ในราคาคอกละ 200 เม็ด เป็นจำนวนเงิน 3 หมื่นบาท โดยยาบ้าจะนำไปขายให้กับวัยรุ่นและกลุ่มผู้ใช้แรงงานต่างด้าวในพื้นที่ ในราคาเม็ดละ 250 เม็ด เจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวนายปัญญา เดินทางมายังบ้านของนายสุพร เอเย่นต์รายใหญ่ เพื่อชี้ตัว แต่นายสุพร ไหวตัวทันหลบหนีไปก่อนที่เจ้าหน้าที่ไปถึง อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่สามารถตรวจค้นภายในบ้านของนายสุพร พบเงินสดซุกซ่อนอยู่ตามตู้เสื้อผ้า ถังข้าวสารและใต้โอ่งน้ำ รวมเป็นเงินกว่า 2 แสนบาท จึงยึดไว้เป็นของกลางพร้อมจะออกหมายจับตัวนายสุพร มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ที่มา เดลินิวส์